ประวัติ “หลวงปู่แสง ญาณวโร” พระเกจิดังอีสาน
ข้อมูลจากเว็บไซต์ 108prageji เปิดเผยว่า “หลวงปู่แสง จันดะโชโต (ญาณวโร)” วัดป่าดงสว่างธรรม บ้านดงสว่าง ตำบลโคกนาโก อำเภอป่าติ้ว จังหวัดยโสธร
เดิมชื่อ “นายแสง ดีหอม”
เกิดเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2467
บ้านเกิด อ.ฟ้าหยาด จ.อุบลราชธานี (ปัจจุบัน คือ อ.มหาชนะชัย จ.ยโสธร)
อุปสมบทเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2490 ณ วัดศรีจันทร์ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น
ปัจจุบันสิริอายุปี 99 ปี 75 พรรษา (บางคนเล่าว่าแท้จริงแล้วท่านอายุ 106 ปี เพราะสมัยนั้นแจ้งเกิดช้า)
ประวัติการจำพรรษาหลวงปู่แสง วิเวกธุดงค์ และไปมาหาสู่กับพระรูปต่างๆ
หลังอุปสมบท หลวงปู่แสง ได้จำพรรษา วิเวกธุดงค์ทั้งในประเทศไทย ลาว และพม่า โดยได้ศึกษาหลักธรรมกับหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ที่วัดป่าบ้านหนองผือ ตำบลนาใน อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร (ช่วงบั้นปลายของท่านอาจารย์มั่นที่อยู่บ้านหนองผือ) และได้วิเวกธุดงค์และไปมาหาสู่กับพระเกจิดังอีกหลายรูป ดังนี้
หลวงปู่คำดี ปภาโส วัดถ้ำผาปู่ จังหวัด เลย (ปี 2494-2496)
พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร วัดป่าอุดมสมพร อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร ได้ร่วมสร้างวัดถ้ำขาม (ปี 2497)
หลวงปู่เทศก์ เทสรังสี วัดหินหมากเป้ง อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย (1 พรรษา)
หลวงปู่บัว สิริปุณโณ วัดราษฎร์สงเคราะห์ อำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี (20 พรรษา)
พระอาจารย์แบน ธนากโร ได้ร่วมสร้างกุฏิศาลาที่วัดธรรมเจดีย์ จังหวัดสกลนคร
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล วัดบูรพาราม อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์
หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล อำเภอหนองบัวลำภู จังหวัดอุดรธานี ได้ร่วมธุดงค์ที่ภูวัว
หลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่
หลวงปู่ชอบ ฐานสโม วัดป่าสัมมานุสรณ์ อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย
หลวงปู่ศรี มหาวีโร ได้วิเวกธุดงค์ที่ภูเกล้า ภูเวียง จังหวัดขอนแก่น
หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ วัดอรัญบรรพต อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย – ได้วิเวกธุดงค์ด้วยกันที่วัดดอยหินหมากเป้ง
หลวงปู่จันทร์โสม กิตติกาโร วัดป่านาสีดา จังหวัดอุดรธานี ได้วิเวกธุดงค์ด้วยกันที่ อำเภอผือ อำเภอสามพราน และ อำเภอน้ำโสม
พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ, พระอาจารย์วัน อุตตะโม หลวงปู่หล้า เขมปัตโต และพระ- อาจารย์สิงห์ทอง ธัมมวโร ได้วิเวกธุดงค์ร่วมกันที่ถ้ำสาลิกา ภูสิงห์ ภูทอง ภูพานคำ และ ภูทอก ฯลฯ
หลวงปู่มหาบุญมี สิริธโร วัดป่าวังเลิง จังหวัดมหาสารคาม ได้จำพรรษาด้วยกัน (ปี 2532 – 2533)
ตั้งแต่ ปี 2534 – 31 ธันวาคม 2551 จำพรรษา ที่วัดป่าอรัญญาวิเวก บ้านไก่คำ จังหวัดอำนาจเจริญ
31 ธันวาคม 2551 – 11 ตุลาคม 2552 จำพรรษาที่วัดป่าอิสิปตนมฤคทายวัน (เสนาสนป่าโคกค่าย) บ้านหนองไฮน้อย ตำบลหนองข่า อำเภอปทุมราชวงศา จังหวัดอำนาจเจริญ
11 ตุลาคม 2552 จำพรรษาที่วัดป่านาเกิ้งญาณวโร บ้านนาเกิ้ง อำเภอเสนางคนิคม จังหวัดอำนาจเจริญ
21 พฤศจิกายน 2553 จำพรรษาที่ วัดป่ามโนรมย์สมประสงค์ (สำนักสงฆ์ภูทิดสา)
บ้านห้วยฆ้อง ตำบลหนองข่า อำเภอ ปทุมราชวงศา จัดหวัด อำนาจเจริญ
3 พฤศจิกายน 2556 สำนักสงฆ์บ้านเวินชัย อำเภอมหาชนะชัย จังหวัดยโสธร
ปัจจุบัน หลวงปู่แสง ญาณวโร จำพรรษา ที่ วัดป่าดงสว่างธรรม บ้านดงสว่าง ตำบลโคกนาโก อำเภอ ป่าติ้ว จังหวัดยโสธร
หลวงปู่แสง กับฉายาที่แท้จริง ที่ไม่ใช่ “ญาณวโร”
หลายคนคงคุ้นเคยกับฉายา “หลวงปู่แสง ญาณวโร” แต่แท้จริงท่ามีฉายาว่า”จันดะโชโต” โดยท่านได้เล่าให้ลูกศิษย์ฟังว่า สมัยหนุ่มๆ ได้เดินทางไปธุดงค์ที่ จ.ดอุดรธานี เพื่อที่จะไปปักกลดที่วัดร้างแห่งหนึ่ง ทางที่จะไปนั้นต้องนั่งเรือข้ามห้วยชื่อว่า “ห้วยหลวง” ขณะที่กำลังนั่งเรืออยู่นั้น เรือได้เกิดพลิกคว่ำ ทำให้บาตรของหลวงปู่ได้หล่นน้ำ ซึ่งในบาตรนั้นได้มีสูจิบัตรพระอยู่ด้วย ทำให้สูจิบัตรของหลวงปู่แสงได้ลอยหายไปกับกระแสน้ำ
หลังจากนั้นหลวงปู่ได้ไปทำสูจิบัตรพระใหม่ ซึ่งท่านมาเห็นในภายหลังว่า เจ้าหน้าที่พิมพ์ฉายาให้ท่านผิดไปเป็นฉายา “ญาณวโร” โดยแท้จริงแล้วหลวงปู่ท่านได้ใช้ฉายา “จันดะโชโต” มาตั้งแต่ต้น จึงทำให้หลวงปู่ได้ใช้ฉายา “ญาณวโร” ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเป็นเวลาหลายปี
จนกระทั่งปี 2557 หลวงปู่ท่านได้มอบหมายให้พระครูสุทธิพรหมคุณ (สุทธิพงศ์ ชนุตตโม) เจ้าอาวาสวัดป่าวังเลิง เจ้าคณะจังหวัดมหาสารคาม ให้ดำเนินการ ในการเปลี่ยนฉายาของหลวงปู่กลับมาเหมือนเดิม จาก “ญาณวโร” เป็น “จันดะโชโต” ซึ่งเป็นฉายาที่แท้จริงของหลวงปู่ และหลวงปู่ยังได้กล่าวอีกว่า “จันดะโชโต” มีความหมายว่า “ผู้ที่รุ่งเรือง” หลวงปู่ท่านเคยจำพรรษาที่วัดป่าวังเลิง จังหวัดมหาสารคาม เมื่อปี 2532 – 2533
โอวาทธรรม หลวงปู่แสง ญาณวโร
“ได้เกิดมาอัตภาพนี้ บ่บ้าใบ้เสียจริตผิดมนุษย์ ให้ตั้งใจทำความดี ให้เป็นหน้าเป็นตาพ่อแม่ สมกับที่ร่างกายนี้พ่อแม่ให้มา ให้คนเขาได้ย่อง ว่าลูกพ่อนั่นแม่นี่”
“เห็นบ่ว่ามันทุกข์ส่ำได๋ เกิดมามันทุกข์ อย่าสุอยากพากันมาเกิดหลาย”
“พากันคิดบ่จะตายมื้อได๋ มัวหลงโลกอยู่เด้อ ให้รีบสร้างความดีเข้า จะได้เป็นที่พึ่งได้ จนที่สุดบ่ต้องมาเกิดอีก
“เขาว่าให้เฮา เฮาบ่ไปรับเอา แนวบ่ดีมันกะตกอยู่นำผู้นั้น เฮากะฮู้อุเบกขาอยู่ วางเฉยบ่ยินดีนำเขาว่า รู้แล้วกะวาง บ่หลงไปนำคำคน ไผเฮ็ดแนวได๋กะได้แนวนั้น ความดีความชั่วโตเฮาทำเอง บ่มีไผมาให้ดีให้ชั่วเฮาได้ เฮาสิดีกะย่อนเฮาทำดี เฮาสิชั่วกะย่อนเฮาทำชั่ว บ่มีไผมาเฮ็ดดี เฮ็ดชั่ว ให้เฮาได้ สรรเสริญ นินทามันเป็นธรรมประจำโลก อย่าไปหลงนำมัน คั่นไปหลงนำมัน มันกะเดือดร้อน ไปรับเอาฟืนเอาไฟมาเผาใจเจ้าของ เป็นเดือดเป็นร้อนขึ้นมา ฮู้จักอุเบกขา วางเฉย ใจมันกะร่มเย็น”
“ให้เอาชนะกิเลสตัวเอง อย่าไปเอาชนะกิเลสคนอื่น ชนะกิเลสในใจตนได้แล้ว ขี้นชื่อว่าชนะทุกสิ่งในโลกนี้ กิเลสอยู่ขอบฟ้ามหาสมุทรไหนก็ชนะทั้งหมด ถ้าเราชนะตัวเราแล้ว”
“มีแต่คนแตกกันซวดๆพากันมาเกิดมาตายหลายโพด คนทุกคนที่มานี่มีจิตมีใจกันเบิดทุกคนเด้อ ผู้หญิงก็มีใจ ผู้ชายก็มีใจ คนเฒ่าคนแก่ก็มีใจ พระเณรก็มีใจ อันได๋ๆกะว่าลงอยู่ใจนี่เด้อ ดีชั่วกะอยู่ใจเด้อ สะอาดกะอยู่ใจนี่ สกปรกกะอยู่ใจนี่ ถ้าใจมันสกปรกกะให้ชำระซักฟอกมันออก ให้มันสะอาดขึ้นมา เอาธรรมะเป็นเครื่องชำระซักฟอก ให้มีศีล ให้มีสมาธิ ให้มันเกิดสติ ให้มีปัญญากำกับรักษาใจ ให้มีสติปัญญากำกับรักษาใจไปตลอด เฮ็ดขึ้นทำขึ้นภายในใจเจ้าของ ใจนี่พาเกิดพาตายมานนานแล้ว”